เนปาลเกิดอะไรขึ้น การลุกฮือของคนรุ่นใหม่ในเนปาล กลายเป็นบทเรียนสำคัญของเอเชียใต้ เมื่อการตัดสินใจเพียงหนึ่งฉบับคำสั่งของรัฐบาลจุดประกายให้เกิดการเคลื่อนไหวระดับประเทศ จนท้ายที่สุดบานปลายไปสู่เหตุรุนแรงและการสูญเสียชีวิตนับสิบ
เนปาลเกิดอะไรขึ้น? จุดเริ่มต้น คำสั่งห้ามโซเชียลมีเดีย
วันที่ 4 กันยายน รัฐบาลเนปาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เคพี ชาร์มา โอลี ออกมาตรการแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย 26 รายการ โดยอ้างเหตุผลเรื่อง “การไม่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง” ภายในกำหนดเวลา
แต่สำหรับประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่น Gen Z มองว่านี่คือการปิดกั้นเสรีภาพ และพยายามสกัดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะประเด็นการทุจริตที่ถูกตั้งคำถามต่อรัฐบาลมานาน
การประท้วงระเบิดขึ้น
วันที่ 8 กันยายน ถนนสายหลักในกรุงกาฐมาณฑุและเมืองใหญ่อื่น ๆ เต็มไปด้วยผู้ชุมนุม นับเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ตำรวจใช้กำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ ตั้งแต่แก๊สน้ำตา ปืนฉีดน้ำ กระบอง ไปจนถึงกระสุนยาง

การปะทะในวันนั้นทำให้ มีผู้เสียชีวิตทันที 19 คน และบาดเจ็บกว่าร้อยราย แต่แทนที่จะสงบลง ความโกรธเกรี้ยวยิ่งปะทุ
ในคืนวันเดียวกัน นายกฯ โอลี พยายามลดแรงกดดันด้วยการประกาศยกเลิกคำสั่งแบนโซเชียลมีเดีย ทว่าไฟแห่งความไม่พอใจได้ลุกลามเกินควบคุมแล้ว
ความรุนแรงยกระดับ
วันที่ 9 กันยายน กลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าใกล้อาคารรัฐสภาและบางส่วนสามารถจุดไฟเผาได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนรัฐบาล เพราะไม่เพียงแต่อาคารรัฐสภาที่เสียหาย แต่ยังมีการโจมตีและวางเพลิงบ้านพักนักการเมืองหลายราย
- บ้านของรัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีต่างประเทศถูกเผา
- บ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี จาลา เนธ คานัล ถูกวางเพลิง ภรรยาของเขา ราชยลักษมี จิตราการ ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น อย่างน้อย 22 ราย และบาดเจ็บกว่า 200 คน
การลาออกและสุญญากาศทางอำนาจ
เนปาลเกิดอะไรขึ้น แรงกดดันมหาศาลทำให้นายกรัฐมนตรีโอลีประกาศลาออก โดยหวังยุติความรุนแรง แต่กลับยิ่งสร้างภาวะสุญญากาศทางการเมือง รัฐมนตรีหลายคนถูกลอบทำร้ายจนต้องอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยที่กองทัพจัดหาให้
บทบาทกองทัพ
พลเอก อโศก ราช ซิกเดล ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาเตือนว่า หากสถานการณ์ยังเลวร้าย กองทัพจะเข้าควบคุมอย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันก็เชิญชวนให้ผู้ชุมนุมเข้าสู่โต๊ะเจรจา
ทหารถูกส่งลาดตระเวนทั่วกรุงกาฐมาณฑุ ปรากฏภาพรถหุ้มเกราะและกำลังพลเต็มถนน พร้อมประกาศเคอร์ฟิวรอบสถานที่สำคัญ
ใครคือ “ผู้ประท้วง Gen Z”
การประท้วงครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่เนปาลเคยเจอ เพราะไม่มีผู้นำชัดเจน แต่ขับเคลื่อนโดยเยาวชนที่รวมตัวผ่านโลกออนไลน์

- นักเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย รวมถึงคอนเทนต์ครีเอเตอร์เข้าร่วมอย่างกว้างขวาง
- พวกเขาเรียกตัวเองว่า “Gen Z” ใช้สมาร์ตโฟนและแฮชแท็กเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร
- ข้อเรียกร้องชัดเจนคือ ยกเลิกการแบนโซเชียลมีเดีย (ซึ่งทำสำเร็จแล้ว) และการยุติการทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมือง
สัญลักษณ์แห่งการต่อต้าน: #NepoKids
สิ่งที่ทำให้การประท้วงครั้งนี้โดดเด่น คือแคมเปญออนไลน์ #NepoBaby และ #NepoKids ซึ่งใช้โจมตีลูกหลานนักการเมืองที่ใช้ชีวิตหรูหราในต่างประเทศ ขณะประชาชนส่วนใหญ่เผชิญความยากลำบากและการว่างงาน
วิดีโอบน TikTok และ Instagram ที่เผยภาพรถหรู เสื้อผ้าแบรนด์เนม และทริปท่องเที่ยวหรูของครอบครัวนักการเมือง ถูกแชร์ไปทั่ว และกลายเป็นเชื้อไฟของความไม่พอใจ
สถานการณ์ล่าสุด
วันที่ 10 กันยายน สนามบินนานาชาติตริภูวันกลับมาเปิดทำการ หลังสงบลงชั่วคราวจากการบังคับใช้เคอร์ฟิว กลุ่มผู้ประท้วง Gen Z ประกาศจะหยุดการเดินขบวนใหญ่ชั่วคราว แต่ยืนยันว่าจะไม่ละทิ้งข้อเรียกร้องเรื่อง “การปฏิรูป”
กองทัพได้จับกุมผู้ต้องหาก่อความรุนแรงและปล้นสะดม 27 คน พร้อมยึดอาวุธปืนกว่า 30 กระบอก แต่ก็ยังมีเหตุสะเทือนใจเมื่อมีนักโทษกว่า 13,500 คน หลบหนีออกจากเรือนจำในช่วงความวุ่นวาย และยังไม่ถูกจับกลับมาได้ครบ
สิ่งที่เกิดขึ้นในเนปาลตอกย้ำว่า การกดทับเสียงของคนรุ่นใหม่ด้วยการปิดกั้นโลกออนไลน์ อาจนำไปสู่การระเบิดครั้งใหญ่ที่ยากจะควบคุม การประท้วงครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเรียกร้องเรื่องโซเชียลมีเดีย แต่เป็นภาพสะท้อนความไม่พอใจต่อระบบการเมือง การทุจริต และความเหลื่อมล้ำที่สั่งสมมายาวนาน โลกกำลังจับตามองว่า หลังจากนายกฯ โอลีลงจากตำแหน่ง เนปาลจะหาทางออกทางการเมืองและการปฏิรูปได้อย่างไร หรือประเทศเล็กๆ บนเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้จะเข้าสู่ความวุ่นวายครั้งใหม่อีกระลอก
อ่านข่าวเพิ่มเติม : https://sanook.rsvp/
ทางเข้าเล่นศูนย์รวมความบันเทิง : https://heylink.me/AROMS168
แหล่งการวางเดิมพัน : https://play.arom168.vip/ref/2dqmo5gp3





